วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2556

แบบฝึกหัดบทที่1


แบบฝึกหัดบทที่ 1

1. ระบบปฏิบัติการคืออะไร แตกต่างจากโปรแกรมประยุกต์อย่างไร
ระบบปฏิบัติการ คือ ระบบคอมพิวเตอร์แทบทุกระบบถือว่าระบบปฏิบัติการเป็นส่วนสำคัญของระบบ โดยทั่วไประบบคอมพิวเตอร์แบ่งเป็น 4 ส่วน คือ ฮาร์ดแวร์ ระบบปฏิบัติการ โปรแกรมประยุกต์ และผู้ใช้
- โปรแกรมประยุกต์ คือ ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมที่ถูกเขียนขึ้นเพื่อการทำงานเฉพาะอย่างที่เราต้องการ เช่น งานส่วนตัว งานทางด้านธุรกิจ งานทางด้านวิทยาศาสตร์ โปรแกรมทางธุรกิจ เกมส์ต่างๆ ระบบฐานข้อมูล ตลอดจนตัวแปลภาษา เราอาจเรียกโปรแกรมประเภทนี้ว่า User's Program โปรแกรมประเภทนี้โดยส่วนใหญ่มักใช้ภาษาระดับสูงในการพัฒนา เช่นภาษา C, C++, COBOL, PASCAL, BASIC
2. ทำไมเครื่องคอมพิวเตอร์จึงจำเป็นต้องมีระบบปฏิบัติการ
 ระบบปฏิบัติการจะอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ ในลักษณะที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องทราบกลไกการทำงาน  หรือฮาร์ดแวร์ของระบบ
3. อะไรบ้างที่เป็นส่วนสนับสนุนปัจจัยให้นักพัฒนาระบบปฏิบัติการพัฒนารุ่นใหม่เพิ่มเติมขึ้นมาเรื่อยๆ
-ถ้ามองในเรื่องธุรกิจ คุณไม่มีทางที่จะผลิตสินค้าเพียงตัวเดียวแล้วขายไ้ด้ตลอดอยู่แล้ว ของกินยังออกรสชาติใหม่มาเรื่อย ๆ เลยครับ

OS ต่าง ๆ ก็ต้อง Upgrade ตัวเองไปเรื่อย ๆ ทั้งด้วยเหตุผลจากความปลอดภัยจากการโจมตีต่าง ๆ หรือให้รองรับกับอุปกรณ์ใหม่ ๆ เทคโนโลยี่ใหม่ ๆ 
-คงมีหลายเหตุผลตั้งแต่เรื่องผลตอบแทน ความคิดในการอยากพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ความต้องการผู้บริโภคที่ไม่มีขีดจำกัด การเกิดขึ้นของเทคโนโลยีใหม่ๆ
4. ยกตัวอย่างโปรแกรม เป็นระบบปฏิบัติการ และโปรแกรมประยุกต์
1.โปรแกรมระบบ(Operating SystemหรือOS) เช่น Windows , Macronish, Linux ,MS Dos, Unix เป็นโปรแกรมที่สั่งให้เครื่องคอมทำงาน  ถ้าไม่มีโปรแกรมเหล่านี้เครื่องคอมพิวเตอร์ก็เปรียบเหมือนอุปกรณ์ไฟฟ้าที่กินไฟเฉยๆ แต่ไม่สามารถใช้งานได้
2.โปรแกรมประยุกต์(Application) คือโปรแกรมที่ใช้งานเฉพาะอย่างเช่นMS-Office, Photoshop, Paint, Antivirus เป็นต้น  ซึ่งโปรแกรมเหล่านี้จะทำงานได้ต้องอาศัยโปรแกรมระบบ  
   สรุป โปรแกรมระบบทำงานได้โดยไม่ต้องอาศัยโปรแกรมประยุกต์  แต่โปรแกรมประยุกต์ทำงานได้ต้องมีโปรแกรมระบบก่อนเท่านั้น
5. สามารถแยกแยะออกได้ระหว่างระบบปฏิบัติการสำหรับเครื่องเดียว และระบบปฏิบัติการเครือข่าย มีระบบการทำงานเป็นอย่างไร
ระบบปฏิบัติการแบบเดี่ยว (Stand - alone OS)
ระบบปฏิบัติการที่ให้บริการสำหรับผู้ใช้เพียงคนเดียว
นิยมใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ประมวลผลและทำงานแบบทั่วไป รองรับการทำงานบางอย่าง เช่น พิมพ์รายงาน ดูหนัง ฟังเพลง หรือเชื่อมต่อเข้ากับอินเตอร์เน็ต
ปัจจุบันพัฒนาให้มีคุณสมบัติที่เป็นเครื่องลูกข่ายเพื่อขอรับบริการจากเครื่องแม่ข่ายได้ด้วย
ตัวอย่างระบบปฏิบัติการแบบเดี่ยว
เช่น Windows , Macronish, Linux ,MS Dos, Unix
-ระบบปฏิบัติการแบบเครือข่าย (Network OS)
ระบบปฏิบัติการที่ออกแบบเพื่อจัดการงานด้านการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์ และการใช้ทรัพยากรร่วมกันได้
มีระบบป้องกันการสูญหายของข้อมูล
ตัวอย่างระบบปฏิบัติการแบบเครือข่าย
เช่น Windows Server , OS/2 Warp Server , Solaris ,
6. แสดงความคิดเห็นว่า แนวโน้มการพัฒนาระบบปฏิบัติการจะเป็นอย่างไร   
10 แนวโน้มเทคโนโลยีที่จะเกิดขึ้นในปี 2555 ในมุมมองของเขามีอะไรบ้าง
1. Touch Computing – วิธีการป้อนข้อมูลแบบใหม่ที่ใช้การสัมผัสจะกลายเป็นวิธีการหลักในปี 2555 นี้ ซึ่งการสัมผัสจะกลายเป็นวิธีการที่มาทดแทนวิธีเดิม ดังที่การแสดงผลแบบกราฟฟิกสวยงามเคยเข้ามาแทนการพิมพ์ชุดคำสั่งในยุคก่อน ดังนั้นเมาส์ก็อาจจะถูกทดแทนด้วยการสัมผัสก็เป็นได้ ซึ่งตัวชี้ก็คือการพัฒนาระบบปฏิบัติการที่เน้นรองรับการสัมผัส ไม่ว่าจะเป็น OS X หรือ Windows 8 ต่างก็ได้รับการต่อยอดมาจากระบบปฏิบัติการบนมือถือ
2. Social Gestures – การแบ่งปันหรือแชร์ข้อมูลให้คนอื่นทราบจะกลายเป็นเรื่องปกติ ต่อไปนี้เวลาเราฟังเพลง ดูหนัง หรืออ่านหนังสือบนโลกออนไลน์ ข้อมูลกิจกรรมเหล่านี้จะถูกแจ้งให้เพื่อนเราทราบผ่านแอพพลิเคชั่นต่างๆ ที่เราได้อนุญาตไว้ แต่ในขณะเดียวกัน ผู้ใช้ก็อาจจะเกิดอาการผวาในเรื่องความเป็นส่วนตัวก็ได้
3. NFC และ Mobile Payments – ในปีนี้น่าจะเป็นปีที่ mobile payment เติบโตอย่างงดงามโดยเฉพาะเทคโนโลยี NFC ซึ่งเราอาจจะเห็นในรูปแบบของการใช้โทรศัพท์ที่รองรับ NFC ในการชำระเงินที่จุดต่างๆ ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าในปี 2556 ทุกๆ 1 ใน 5 ของโทรศัพท์จะรองรับ NFC ด้วย
4. Beyond iPad – ในขณะที่ Touch Computing เติบโตโดยมี iPad เป็นเจ้าตลาด Kindle Fire ของ Amazon กลับผงาดขึ้นมาเป็นคู่แข่งที่ต้องจับตามองได้ โดยเฉพาะช่วงคริสต์มาสที่ผ่านมาที่ยอดการซื้อKindle Fire กระโดดขึ้นมาจนน่าตกใจ สิ่งทีสำคัญที่ทำให้ Kindle Fire และ Amazon น่ากลัวก็คือการมีฐานของข้อมูลที่มากกว่า ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์, หนังสืออีบุ๊ค, รายการทีวี และคอนเทนต์รูปแบบอื่นๆ ที่ Amazonรองรับอยู่แล้ว ซึ่งคอนเทนต์เหล่านี้มีพลังมากกว่าแค่ตัวเครื่อง ซึ่ง Amazon อาจจะกลายเป็นแพลทฟอร์มสำหรับนักพัฒนาที่สามารถต่อกรกับ iPad ได้
5. TV Everywhere – (สำหรับตลาดในประเทศตะวันตกเป็นหลัก) ในขณะเราเริ่มคุ้นเคยกับการดูวิดีโอหรือคลิปต่างๆ ผ่านช่องทางออนไลน์และคิดว่ารายการทางเคเบิ้ลหรือทีวีทั่วไปกำลังจะได้รับความนิยมลดลง บริษัทยักษ์ใหญ่หลายๆ รายก็ได้เริ่มปรับตัวและเปิดให้เราสามารถดูรายการต่างๆ บนอุปกรณ์พกพาได้ด้วย ซึ่งการสมัครเพียงครั้งเดียวจะทำให้ผู้บริโภคสามารถดูรายการต่างๆ ได้หลากหลายช่องทางและทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจไม่ยกเลิกการสมัครเป็นสมาชิกบริการเหล่านี้
6. Voice Control – การสั่งงานหรือควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ด้วยเสียงกลับมาฮือฮาอีกครั้งกับการมาของ Siri บน iPhone 4S ซึ่งด้วยความสามารถที่เหนือชั้นมากขึ้นจึงทำให้กระแสนี้กลับมาบูมและแน่นอนว่าผู้ให้บริการ ผู้พัฒนาและผู้ผลิตอีกมากมายจะกระโดดลงมาสู่เส้นทางนี้อย่างแน่นอน
7. Spatial Gesture – นอกจากการสัมผัสที่กำลังมานั้น การควบคุมด้วยการเคลื่อนไหวก็กำลังจะเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน ลองนึกถึงภาพยนตร์เรื่อง Minority Report ที่ Tom Cruise ขยับมือในอากาศเพื่อสั่งงานคอมพิวเตอร์ดู นั่นแหละครับคือกระแสที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังจากที่ Kinect ของ Microsoft ได้เกิดขึ้นและมีนักพัฒนาจำนวนไม่น้อยได้พยายามดัดแปลงเอาไปใช้งานในรูปแบบอื่นๆ
8. Second-screen Experiences – ประสบการณ์การใช้งานจอที่สองกำลังจะเกิดขึ้น ลองนึกว่าคุณกำลังดูโทรทัศน์โดยมี iPad ในมือแล้วคุณใช้ iPad ฟังเสียงรายการที่เปิดอยู่ จากนั้นบนจอ iPad ก็แสดงผลคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องกับรายการนั้นๆ ทันที บริการดังกล่าวเริ่มมีให้เห็นแล้ว เช่น Disney ที่พัฒนาแอพพลิเคชั่นสำหรับภาพยนตร์เรื่อง The Lion King หรือ Bambi ซึ่งบริการรูปแบบนี้น่าจะมีให้เห็นมากขึ้นในปีนี้
9. Flexible Screens – ถึงเวลาของหน้าจองอได้แล้ว Nokia และ Samsung ออกมาประกาศแล้วว่าจะมีผลิตภัณฑ์ที่ใช้หน้าจอที่ยืดหยุ่นออกมาให้เห็นในปีนี้ ซึ่งการใช้งานอาจจะเอื้อต่อการซูมเข้าออกเวลาดูรูป หรือการเลื่อนหน้าด้วยการบิดจอ แต่การงอระดับที่จะม้วนจอเก็บในกระเป๋ากางเกงได้นั้นคงต้องใช้เวลาอีกหลายปีทีเดียว
10. HTML5 – เราได้ยินชื่อนี้มานานแล้ว แต่คงถึงเวลาที่ HTML5 จะเกิดอย่างจริงจังเสียที ซึ่งความนิยมของ iOS และ Android ก็มีส่วนช่วยผลักดันไม่น้อย เพราะการพัฒนาแอพพลิเคชั่นบน HTML5 จะช่วยให้การแสดงผลต่างๆ อยู่ในคุณภาพที่ดีมากและไม่ขึ้นกับระบบปฏิบัติการ นั่นหมายถึงว่านักพัฒนาสามารถพัฒนาแอพพลิเคชั่นเพียงครั้งเดียวแล้วให้แสดงผลได้ทั้งบน iOS และ Android พร้อมๆ กัน

วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

คอมพิวเตอร์

ตอนที่ 1 จงอธิบายข้อต่อไปนี้โดยสังเขป
1. จงบอกยุคของวิวัฒนาการของคอมพิวเตอร์โดยเรียงลำดับจากอดีตถึงปัจจุบัน 
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 1

อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2488 ถึง พ.ศ. 2501 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้หลอดสุญญากาศซึ่งใช้กำลังไฟฟ้าสูง จึงมีปัญหาเรื่องความร้อนและไส้หลอดขาดบ่อย ถึงแม้จะมีระบบระบายความร้อนที่ดีมาก การสั่งงานใช้ภาษาเครื่องซึ่งเป็นรหัสตัวเลขที่ยุ่งยากซับซ้อน เครื่องคอมพิวเตอร์ของยุคนี้มีขนาดใหญ่โต เช่น มาร์ค วัน (MARK I), อีนิแอค (ENIAC), ยูนิแวค (UNIVAC)
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 2

คอมพิวเตอร์ยุคที่สอง อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2502 ถึง พ.ศ. 2506 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้ทรานซิสเตอร์ โดยมีแกนเฟอร์ไรท์เป็นหน่วยความจำ มีอุปกรณ์เก็บข้อมูลสำรองในรูปของสื่อบันทึกแม่เหล็ก เช่น จานแม่เหล็ก ส่วนทางด้านซอฟต์แวร์ก็มีการพัฒนาดีขึ้น โดยสามารถเขียนโปรแกรมด้วยภาษาระดับสูงซึ่งเป็นภาษาที่เขียนเป็นประโยคที่คนสามารถเข้าใจได้ เช่น ภาษาฟอร์แทน ภาษาโคบอล เป็นต้น ภาษาระดับสูงนี้ได้มีการพัฒนาและใช้งานมาจนถึงปัจจุบัน
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 3 คอมพิวเตอร์ยุคที่สาม อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2507 ถึง พ.ศ. 2512 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้วงจรรวม (Integrated Circuit : IC) โดยวงจรรวมแต่ละตัวจะมีทรานซิสเตอร์บรรจุอยู่ภายในมากมายทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์จะออกแบบซับซ้อนมากขึ้น และสามารถสร้างเป็นโปรแกรมย่อย ๆ ในการกำหนดชุดคำสั่งต่าง ๆ ทางด้านซอฟต์แวร์ก็มีระบบควบคุมที่มีความสามารถสูงทั้งในรูประบบแบ่งเวลาการทำงานให้กับงานหลาย ๆ อย่าง
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 4คอมพิวเตอร์ยุคที่สี่ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 จนถึงปัจจุบัน เป็นยุคของคอมพิวเตอร์ที่ใช้วงจรรวมความจุสูงมาก(Very Large Scale Integration : VLSI) เช่น ไมโครโพรเซสเซอร์ที่บรรจุทรานซิสเตอร์นับหมื่นนับแสนตัว ทำให้ขนาดเครื่องคอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลงสามารถตั้งบนโต๊ะในสำนักงานหรือพกพาเหมือนกระเป๋าหิ้วไปในที่ต่าง ๆ ได้ ขณะเดียวกันระบบซอฟต์แวร์ก็ได้พัฒนาขีดความสามารถสูงขึ้นมาก มีโปรแกรมสำเร็จให้เลือกใช้กันมากทำให้เกิดความสะดวกในการใช้งานอย่างกว้างขวาง
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 5คอมพิวเตอร์ยุคที่ห้า เป็นคอมพิวเตอร์ที่มนุษย์พยายามนำมาเพื่อช่วยในการตัดสินใจและแก้ปัญหาให้ดียิ่งขึ้น โดยจะมีการเก็บความรอบรู้ต่าง ๆ เข้าไว้ในเครื่อง สามารถเรียกค้นและดึงความรู้ที่สะสมไว้มาใช้งานให้เป็นประโยชน์ คอมพิวเตอร์ยุคนี้เป็นผลจากวิชาการด้านปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) ประเทศต่างๆ ทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และประเทศในทวีปยุโรปกำลังสนใจค้นคว้าและพัฒนาทางด้านนี้กันอย่างจริงจัง
2.   จงบอกส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ประเภทฮาร์ดแวร์มา8รายการ
     1. แป้นพิมพ์ หรือคีย์บอร์ด  ทำหน้าที่รับข้อมูลตัวหนังสือหรือสัญลักษณ์ต่างๆด้วยการกดที่แป้นพิมพ์ 

     2. เมาส์  ทำหน้าที่รับข้อมูลด้วยการควบคุมตัวชี้ตำแหน่งหรือเคอร์เซอร์
     3. สแกนเนอร์  เป็นอุปกรณ์รับข้อมูลที่ได้จากการแปลงค่าแสงที่ตกกระทบวัตถุให้เป็นสัญญาณดิจิทัล
     4. กล้องวิดิโอดิจิทัล เป็นอุปกรณ์รับข้อมูลประเภทภาพเคลื่อนไหว
     5. กล้องวิดิโอพีซี  เป็นอุปกรณ์รับข้อมูลที่พัฒนาขึ้นเพื่อถ่ายทอดภาพเคลื่อไหวของคู่สนทนาผ่านอินเทอร์เน็ต
     6. การ์ดแสดงผล  นิยมเรียกว่าการ์ดจอ มีลักษณะเป็นแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์
     7. การ์ดเสียง  คล้ายการ์ดแสดงผลแต่มีหน้าที่รับข้อเสียงมาประมวลผลให้เป็นสัญญาณดิจิทัล
     8. การ์ดเครือข่าย  ทำหน้าที่เชื่อมต่อสัญญาณระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับฮาร์ดแวร์อื่นๆ 
 3. จงบอกส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ประเภทซอฟต์แวร์มา 8 รายการ
          1.ซอร์ฟแวร์ระบบ
          2.ซอร์ฟแวร์ประยุกต์
          3.ซอร์ฟแวร์สําเร็จ
          4.ซอร์ฟแวร์ประมวลคํา
          5.ซอร์ฟแวร์นําเสนอ
          6.ซอร์ฟแวร์สื่อสารข้อมูล
          7.ซอฟต์แวร์จัดการฐานข้อมูล 
          8.ตัวแปลภาษา
        4. จงเขียนผังการทำงานของคอมพิวเตอร์พร้อมยกตัวอย่างอุปกรณ์ประเภทฮาร์ดแวร์ในแต่ละ ส่วนการทำงาน 
           
                                                          หน่วยรับข้อมูล (Input Unit)

 

รับข้อมูล (Input) เป็นส่วนที่ทำหน้าที่รับคำสั่งจากผู้ใช้เข้าไปในเครื่องโดยผ่านอุปกรณ์ เช่น คีบอร์ด เมาส์ จอยสติ๊ก เป็นต้น 
ประมวลผล จะทำการประมวลข้อมูลตามคำสั่งที่ได้รับ โดยหน่วยประมวลผลที่มีชื่อเรียกว่า ซีพียู (CPU: Central Processing Unit) 
นั้นเปรียบได้เหมือนป็นสมองของคอมพิวเตอร์ ซึ่งสมรรถนะของเครื่องจะขึ้นกับความเร็วในการทำงานของหน่วยประมวลผล

หน่วยความจำหลัก (Main Memory)
หน่วยความจำหลักสามารถแบ่งได้เป็น ประเภทคือ

1. หน่วยความจำหลักแบบอ่านอย่างเดียว (Read Only Memory) นิยามสั้นๆ ว่า รอม (ROM) 

คือหน่วยความจำที่เก็บชุดคำสั่งที่ใช้ในการเร่มต้นในการทำงานหรือชุดคำสั่งที่สำคัญๆ ขอระบบคอมพิวเตอร์
2. หน่วยความจำหลักแบบแก้ไขได้ (Random Access Memory) นิยมเรียกสั้นๆว่า แรม (RAM)
                                                  หน่วยความจำสำรอง (Secondary Memory)
  1.ฟลอปปีดิสก์ (floppy disks) นิยมเรียกโดยทั่วไปว่า แผ่นดิสก์ หรือ ดิสก์เกตต์ เป็นอุปกรณ์เก็บข้อมูลสำรองที่สามารถ
พกพาและเคลื่อนย้ายได้สะดวก แผ่นดิสก์รุ่นแรก ๆ จะมีขนาด นิ้ว และ 5.25 นิ้ว แต่ปัจจุบันนิยมใช้ขนาด 3.5 นิ้ว ซึ่งมี
   2. คอมแพคดิสก์ (compact disk หรือ CD) เป็นอุปกรณ์เก็บข้อมูลสำรองที่ได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน
ลักษณะหนึ่งที่สำคัญของ CD คือจะถูกอ่านด้วยเครื่องอ่าน CD (CD - Rom drive) ที่มีความเร็วที่แตกต่างกันออกไป 
  3.ฮาร์ดดิสก์ (Harddisk) มีลักษณะเป็นจานแม่เหล็กหลายแผ่นวางซ้อนกัน โดยอาจมีจำนวนแผ่น 3-11 แผ่น ซึ่งจะไม่เรียกว่าดิสก์ แต่จะเรียกว่าแพลตเตอร์ (Platter) แทน ซึ่งแต่ละแพลตเตอร์จะสามารถเก็บข้อมูลได้ทั้งสองด้านเนื่องจากแพลตเตอร์ผลิตจากสารจำพวกโลหะหรือแก้วบางชนิด จึงไม่สามารถงอไปงอมาได้
หน่วยแสดงผล (Output Unit)






หน่วยรับข้อมูล หรือ หน่วยนำเข้าข้อมูล  เป็นหน่วยเริ่มต้นในการทำงานของคอมพิวเตอร์ เพราะ มีหน้าที่ในการนำข้อมูลหรือคำสั่งต่าง ๆ  เข้าไปในระบบการทำงานของคอมพิวเตอร์
อุปกรณ์รับข้อมูลของหน่วยรับข้อมูล  มีหลายชนิด  เช่น    แป้นพิมพ์  เมาส์  เครื่องสแกน  จอยสติก จอสัมผัส  แต่ทุกชนิดทำหน้าที่ รับข้อมูลหรือคำสั่ง เข้าสู่ระบบการทำงานของคอมพิวเตอร์ เหมือนกัน

5. จงบอกประเภทของระบบปฏิบัติการพร้อมยกตัวอย่างชื่อระบบปฏิบัติการในแต่ละประเภท มา  2 ชื่อ
ระบบปฏิบัติการ DOS มีข้อเสียคือ ติดต่อกับผู้ใช้ไม่สะดวก เพราะผู้ใช้ต้องจำ และพิมพ์คำสั่งให้ถูกต้อง โปรแกรมจึงจะทำงาน ดังนั้นประมาณปี ค.ศ. 1985 บริษัทไมโครซอฟต์ ได้พัฒนาซอฟต์แวร์ Microsoft Windows Version 1.0 และได้พัฒนาเรื่อยมาจนถึง Version Microsoft Windows 3.11 ในปีค.ศ. 1990 ซอฟต์แวร์ดังกล่าว ทำงานในสภาพแวดล้อม ที่เป็นกราฟิกเรียกว่า Graphic User Interface(GUI) ทำหน้าที่แทนดอส ทำให้เกิดความสะดวกแก่ผู้ใช้อย่างมาก ทำให้ Microsoft Windows 3.11 ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ในเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ คุณสมบัติเด่นของ Windows 3.11 คือทำงานในกราฟิกโหมด เป็น Multi-Tasking และ Generic OS แต่ยังคงทำงานในลักษณะ Single-User OS แต่ก็ยังคงต้องอาศัยระบบปฏิบัติการดอส ทำการบูตเครื่องเพื่อเริ่มต้นระบบก่อน

ระบบปฏิบัติการวินโดวส์95 :::: ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 95 พัฒนาโดยบริษัทไมโครซอฟต์ และวางจำหน่ายในช่วงปลายปี 1995 เป็นซอฟต์แวร ์ที่ใช้กับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ทั่ว ๆ ไป ที่มีคุณลักษณะฮาร์ดแวร ์และหน่วยความจำ สูงกว่าระบบปฏิบัติการดอส ต้องใช้ซีพียูที่มีความเร็ว ในการประมวลผลด้วย ตัวโปรแกรมต้องใช้พื้นที่ฮาร์ดดิสก์ประมาณ 40 MB มีรูปแบบการติดต่อกับผู้ใช้ (User Interface) เป็นภาพกราฟิก ทำให้ง่าย และสะดวกต่อการใช้งานยิ่งขึ้น (Friendly User Interface)
          วินโดวส์ 95 ติดต่อกับผู้ใช้โดยใช้ภาพกราฟิก การใช้งานควบคุมโปรแกรม โดยใช้เมาส์เป็นส่วนใหญ่ ผู้ใช้ไม่ต้องจำคำสั่ง สะดวกต่อการใช้งานมาก นอกจากนั้นยังมี DOS Prompt ให้สามารถใช้คำสั่ง ที่จำเป็นของดอสในวินโดวส์ 95 ได้อีกด้วย ความสามารถของวินโดวส์ 95 คือเตรียมโปรแกรม สำหรับการควบคุม การเชื่อมต่ออุปกรณ์ภายนอก ไว้จำนวนมาก สามารถตรวจสอบอุปกรณ์ ที่นำมาเชื่อมต่อใหม่ได้อย่างอัตโนมัติ ทำให้ผู้ใช้สะดวกอย่างมาก ในการติดตั้งอุปกรณ์ใหม่ เข้ากับคอมพิวเตอร์ การทำงานในลักษณะนี้เรียกว่า Pnp (Plug and Play) นอกจากนี้ยังมีความสามารถ จัดการในการเชื่อมต่อเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ แบบจุดต่อจุด (Peer-to-Peer) เพื่อใช้ทรัพยากรของระบบเครือข่ายร่วมกัน
6. จงบอกลักษณะของระบบปฏิบัติการแต่ละประเภท 
ระบบปฏิบัติการ Windows XP :::: WindowsXP เป็นระบบปฏิบัติการ ที่เริ่มวางตลาดในปี ค.ศ. 2001 โดยตั้งชื่อ ให้รับกับการเปลี่ยนแปลงล่าสุดว่า Microsoft Windows XP โดยคำว่า XP ย่อมาจาก experience แปลว่ามีประสบการณ์ โดยทางบริษัทผู้สร้าง กล่าวว่าการตั้งชื่อเช่นนี้ มีเหตุผลมาจากที่ต้องการสื่อให้เห็นถึงการ ได้รับประสบการณ์ใหม่ ๆ จากการใช้ Windows XP ทุก ๆ ประมาณ 2 ปี บริษัทไมโครซอฟต์ผู้ผลิตโปรแกรมวินโดวส์ จะวางตลาดวินโดวส์รุ่นใหม่ ๆ โดยได้ใส่เทคโนโลยีที่ทันสมัย และเปลี่ยนแปลง สิ่งที่เป็นข้อด้อยของวินโดวส์รุ่นเก่า เพราะฉะนั้น ผู้ที่ต้องการเทคโนโลยีใหม่ ๆ Windows XP มีจุดเด่นและความสามารถมากมาย ไม่ว่าจะเป็นระบบใช้งานที่ดูสวยงาม และง่ายกว่าวินโดวส์รุ่นเก่า ๆ มีระบบช่วยเหลือในการปรับแต่งมากมาย เช่นระบบติดตั้งฮาร์ดแวร์ ติดตั้งเครือข่าย และสร้างผู้ใช้ในเครือข่าย การสร้างแฟกซ์ด้วยคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ยังมีโปรแกรมรุ่นใหม่ แถมมาให้หลายโปรแกรม เช่นโปรแกรมดูหนังฟังเพลง (Windows Media Player 8)และโปรแกรมท่องโลกอินเทอร์เน็ต (Internet Explorer 6) เหมาะสำหรับนักคอมพิวเตอร์มือใหม่ และผู้ใช้งานทั่วไปอย่างยิ่ง 

ระบบปฏิบัติการ Microsoft Windows Vista เป็นโปรแกรมระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่ล่าสุดจากไมโครซอฟท์ ที่พัฒนาต่อมาจาก Microsoft Windows XP และ Microsoft Windows Server 2003 ที่ได้รับการปรับปรุงและพัฒนาให้มีความล้ำสมัย ทั้งรูปร่างหน้าตา (Interface) และฟังก์ชั่นการใช้งานต่างๆ นอกจากที่ Vista จะมีความพิเศษในเรื่องฟังก์ชั่นต่างๆ แล้ว ไมโครซอฟท์ได้ปรับปรุงเรื่องความปลอดภัยและเน็ตเวิร์คให้สามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ปัจจุบันได้วางจำหน่ายให้กับองค์กรธุรกิจวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 และวางจำหน่ายให้กับผู้ใช้ทั่วไปวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2550 ไมโครซอฟท์ประกาศใช้ชื่อ Microsoft Windows Vista อย่างเป็นทางการแก่สื่อมวลชนในวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 แทนที่ชื่อรหัส ลองฮอร์น (Longhorn) โดยคำว่า วิสตา ในภาษาอังกฤษ หมายถึงมุมมอง หรือทิวทัศน์
7. จงเขียนผังแสดงสถานะของการประมวลผลข้อมูล (Process State)

สถานะของกระบวนการ (Process State)
    ระบบคอมพิวเตอร์แบบหลายโปรแกรม (Multiprogramming)และแบบผู้ใช้หลายคน (Multiuser)จะมีกระบวนการที่
ทำงานอยู่ในระบบหลายกระบวนการพร้อมๆกันโดยที่บางกระบวนการกำลังขอเข้าใช้งานหน่วยประมวลผลกลาง (CPU)บาง
กระบวนการกำลังใช้งานหน่วยประมวลผลกลางอยู่บางกระบวนการกำลังร้องขออุปกรณ์รับ-ส่งข้อมูลอยู่พฤติกรรมของกระบวนการ
เหล่านี้เรียกอีกอย่างว่า "สถานะกระบวนการ"(State of Process)กระบวนการ(Process)หมายถึงคำสั่งในโปรแกรมที่ถูก
ประมวลผลด้วยหน่วยประมวลผลกลางหรืออีกในหนึ่ง ณ เวลาใดๆจะมีเพียงอย่างมาหนึ่งคำสั่งที่ดำเนินการอยู่สถานะของ
กระบวนการ(Processtate)กระบวนการต่างๆที่กำลังทำงานอยู่ในระบบเดียวกันจะมีการเปลี่ยนแปลงสถานะของกระบวนการถึง 
สถานะด้วยกัน ซึ่งสถานะดังกล่าวจะถูกกำหนดขึ้นโดยกิจกรรม ณ เวลาปัจจุบันที่กระบวนการนั้นๆกำลังกระทำอยู่โดยที่แต่ละ
กระบวนการจะตกอยู่ในสถานะใดสถานะหนึ่งจากสถานะทั้ง ต่อไปนี้
            New              กระบวนการใหม่กำลังถูกสร้างขึ้น 
            Running          กระบวนการกำลังทำงานตามคำสั่งในโปรแกรม
            Waiting          กระบวนการกำลังรอคอยให้เหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น 
            Ready            กระบวนการกำลังรอคอยที่จะเข้าใช้หน่วยประมวลผล 
            Terminate        กระบวนการเสร็จสิ้นการทำงาน orde�.. f.-..0�.0.�. windowtext .5pt; mso-border-alt:solid windowtext .5pt;padding:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt'>ตัวชี้หน่วยความจำที่process ใช้อยู่Context dataข้อมูลที่อยู่ใน register ของ process ขณะถูกประมวลผลI/O status informationข้อมูลของ I/O ที่ processเกี่ยวข้องAccounting information ข้อมูลเกี่ยวกับเวลาของCPU ที่processใช้เวลาที่ใช้ไปช่วงเวลาที่สามารถใช้ได้และอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

           

        8.  จงเปรียบเทียบคอมพิวเตอร์กับมนุษย์ โดยแสดงให้เห็นความเหมือนและความแตกต่างเกี่ยวกับส่วนประกอบและการทำงาน
        อวัยวะของคนที่ทำหน้าที่ช่วยในการประมวลผล
              1. อวัยวะในการรับรู้ข้อมูลของคนมีหลายอย่างดังนี้
                    1.1  การรับรู้จากการสัมผัสด้วยมือ  เช่น  รับรู้ว่าร้อนหรือเย็น   แข็ง หรือ  อ่อนนุ่ม   เรียบหรือขรุขระ
                    1.2  การรับรู้จากการสัมผัสดวยลิ้น   เช่น  รับรู้ว่าร้อนหรือเย็น  รับรู้รสต่างๆ
                    1.3  การรับรู้จากการสัมผัสด้วยตา    เช่น  การรู้ด้วยการมองเห็นภาพ   ตัวอักษร  หรือตัวเลข
                    1.4  การรับรู้จากการสัมผัสด้วยหู     เช่น   รับรู้ด้วยการได้ยิน  ได้ฟังเสียง
                    1.5  การรับรู้จากการสัมผัสด้วยจมูก   เช่น  รับรู้ด้วยการได้กลิ่นต่างๆ
              
2. อวัยวะในการคิดประมวลผลของคน  คือ  สมอง และความรู้สึกที่จดจำไว้ในสมอง
              
3. อวัยวะในการโต้ตอบหรือแสดงผล  มีหลายอย่าง  ดังนี้
                    3.1 การโต้ตอบหรือแสดงผลทางปาก   เช่น  การแสดงคำตอบด้วยการพูด
                    3.2 การโต้ตอบหรือแสดงผลทางมือหรือร่างกาย   เช่น  การแสดงคำตอบด้วยภาษามือ   ภาษาท่าทาง  การเขียนคำตอบลงกระดาษ  ฯลฯ
                    3.3 การโต้ตอบหรือแสดงผลทางสีหน้า   เช่น   การแสดงคำตอบด้วยสีหน้า   ท่าทาง
ตารางเปรียบเทียบอวัยะคนกับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์
9. ส่วนประกอบทางด้านฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์มีอะไรบ้าง จงเขียนรูปแสดงส่วนประกอบพร้อมอธิบายพอเข้าใจ
              หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit : CPU)  หน่วยประมวลผลกลางเป็นศูนย์กลางการประมวลผลของทั้งระบบเปรียบเสมือนกองบัญชาการ หรือ ส่วนของศีรษะของมนุษย์ที่มีผู้บัญชาการ หรือสมองอยู่ภายใน
            ภายในหน่วยประมวลผลกลาง จะเป็นการทำงานประสานกันระหว่าง 2  ส่วนหลัก คือ
            1. ส่วนควบคุม (Control Unit)
            2. ส่วนคำนวณและเปรียบเทียบข้อมูล (Arithmetic and Logical Unit or ALU)
            ส่วนควบคุม (Control Unit) 
            ส่วนควบคุมคือ ส่วนที่ทำหน้าที่สร้างและส่งสัญญาณไปควบคุมการทำงานของส่วนประกอบต่าง ๆ ในระบบคอมพิวเตอร์ คล้ายการส่งสัญญาณควบคุมจากสมองไปสู่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ส่วนควบคุมนี้ไม่ได้ทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูล แต่มีหน้าที่ประสานงานให้ส่วนประกอบต่าง ๆ สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างเป็นระบบ สัญญาณควบคุมจำนวนมาก สามารถเดินทางไปยังส่วนประกอบต่าง ๆ ของระบบคอมพิวเตอร์ได้ด้วย ตัวส่งสัญญาณเรียกว่า บัส (Bus) ซึ่ประกอบด้วย Control Bus, Data Bus และ Address Bus ที่ทำหน้าที่ส่งสัญญาณควบคุม ส่งสัญญาณข้อมูล และส่งตำแหน่งที่อยู่ของข้อมูล ในส่วนความจำตามลำดับ ดังนั้นบัสจึงเปรียบเทียบเสมือนพาหนะที่ใช้ขนส่งข้อมูลไปสู่ส่วนประกอบต่าง ๆ ของระบบนั่นเอง
            ส่วนคำนวณและเปรียบเทียบข้อมูล (Artimetic and Logic Unit : ALU) ทำหน้าที่คำนวณและเปรียบเทียบข้อมูล โดยอาศัยหลักการทางคณิตศาสตร์และตรรกศาสตร์ ตามลำดับการประมวลผลด้วยหลักการทางคณิตศาสตร์คือการคำนวณที่ต้องกระทำกับข้อมูลประเภทตัวเลข เช่น การบวก ลบ คูณ หาร ฯลฯ ให้ผลลัพธ์ที่หลากหลาย แต่การประมวลผลด้วยหลักตรรกศาสตร์ คือ การเปรียบเทียบข้อมูลที่กระทำกับข้อมูลตัวอักษร สัญลักษณ์หรือตัวเลข ให้ผลลัพธ์เพียงสองสภาวะ เช่น 0-1, ถูก-ผิด หรือจริง-เท็จ เป็นต้น คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง มักมีส่วนคำนวณและเปรียบเทียบ (ALU) มากกว่าหนึ่งชุด ซึ่งมักพบในเครื่องที่มีกาประมวลผลแบบ Multi-Processing (ประมวลผลงานเดียว โดยอาศัยตัวประมวลผลหลายตัว)
            หน่วยความจำหลัก (Main Memory หรือ Primary Storage) หน่วยความจำหลักเป็นส่วนความจำพื้นฐานในคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง เป็นหัวใจของการทำงานในรูปแบบอัตโนมัติ มีหน้าที่เก็บข้อมูลต่าง ๆ ที่ป้อนเข้ามาเพื่อให้ส่วนประมวลผลนำไปใช้ และเก็บข้อมูลที่เกี่ยวกับคุณสมบัติกและระบบการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์
            หน่วยความจำหลักประกอบด้วย
1.    หน่วยความจำแบบถาวร (Read Only Memory – ROM)
2.    หน่วยความจำชั่วคราว (Random Access Memory – RAM)

            หน่วยความจำแบบถาวร  คือ หน่วยความจำที่นำข้อมูลออกมาใช้งานเพียงอย่างเดียว โดยได้มีการบันทึกข้อมูลไว้ล่วงหน้าแล้ว สามารถเก็บรักษาข้อมูลไว้ได้โดยไม่ต้องอาศัยพลังงานไฟฟ้าในการรักษาข้อมูล แม้เราจะปิดเครื่องหรือไม่มีไฟฟ้าไปหล่อเลี้ยง ข้อมูลที่อยู่ในรอมก็จะยังคงอยู่ไม่สูญหายไปไหน ในปัจจุบัน หน่วยความจำถาวรนี้เปิดโอกาสให้สามารถลบหรือแก้ไขข้อมูลได้ เช่น การปรับปรุง/แก้ไข ข้อมูลเกี่ยวกับระบบคอมพิวเตอร์ (System Configuration)
          
            หน่วยความจำชั่วคราว  คือ หน่วยความจำที่สามารถบันทึกข้อมูล หรืออ่านข้อมูล ณ เวลาใด ๆ ได้ตามต้องการ การจดจำข้อมูลจึงไม่ถาวร ทั้งยังต้องอาศัยสัญญาณไฟฟ้าในการเก็บรักษาและอ่านข้อมูล ฉะนั้น ข้อมูลที่อยู่ในแรมจะสูญหายไปทันทีที่ปิดเครื่องหรือไฟฟ้าไม่ไปหล่อเลี้ยง แรมเป็นหน่วยความจำที่ใกล้ชิดและเกี่ยวข้องกับผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์โดยตรงเนื่องจากการับข้อมูล การประมวลผลและการแสดงผลข้อมูลต่างต้องอาศัยพื้นที่ในหน่วยความจำทั้งสิ้น แรมเป็นหน่วยความจำที่บ่งชี้ประสิทธิภาพของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สำคัญขนาดความจุของแรมเปรียบเสมือนขนาดของโต๊ะทำงาน หากแรมมีความจุมาก ก็เหมือนโต๊ะทำงานที่มีพื้นที่ในการทำงานได้มาก
          
            หน่วยเก็ข้อมูลสำรอง  แบ่งออกตามความเหมาะสมในการเข้าไปถึงข้อมูลได้ 2 ประเภท ดังนี้
1.    หน่วยเก็บข้อมูลสำรองที่เข้าถึงข้อมูลโดยลำดับเป็นหน่วยเก็บข้อมูลสำรองที่ต้องมีการจัดเก็บและเรียกใช้ข้อมูลโดยการเรียงลำดับ การสืบค้นหรือเข้าถึงข้อมูลจึงล่าช้าเพราะต้องเป็นไปตามลำดับก่อนหลังของการบันทึก ซึ่งหน่วยเก็บข้อมูลประเภทนี้ได้แก่ เทปแม่เหล็ก (magnetic taps)
2.    หน่วยเก็บข้อมูลสำรองที่เข้าถึงข้อมูลได้โดยตรง เป็นหน่วยเก็บข้อมูลที่สามารถจัดเก็บและเรียกใช้ข้อมูลที่ต้องการได้โดยตรงไม่ต้องอ่านเรียงลำดับเหมาะกับงานที่ต้องอาศัยการประมวลผลแบบโต้ตอบ ที่ต้องการข้อมูลที่รวดเร็ว ซึ่งได้แก่ จานแม่เหล็ก ประเภทต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ฟลอปปี้ดิสก์ ฮาร์ดดิสก์ ซีดีรอม และ ดีวีดี นั่นเอง
            เนื่องจากส่วนความจำในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้บันทึกข้อมูลในระบบประมวลผล ไม่สามารถรักษาข้อมูลไว้ได้หลังจากปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ ดังนั้น การบันทึกข้อมูลลงบนหน่วยเก็บข้อมูลสำรอง จึงมีความจำเป็นในอันที่จะรักษาข้อมูลไว้ใช้ในอนาคต และทำให้สามารถนำข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งเคลื่อนย้ายไปสู่เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ ในระบบเดียวกันได้อีกด้วย

            หน่วยแสดงแผล (Output Unit) หน่วยแสดงผลเป็น่วนที่แสดงข้อมูลสู่มนุษย์ เป็นตัวกลางการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์กับมนุษย์ เราเรียกเครื่องมือในส่วนนี้ว่า อุปกรณ์แสดงผล (Output Device)
            อุปกรณ์แสดงผลสามารถแบ่งออกได้ 2 ประเภท ตามลักษณะของข้อมูลที่แสดงออกมาสู่ผู้ใช้ ได้แก่
1.    อุปกรณ์แสดงผลที่มนุษย์จับต้องไม่ได้ (Softcopy Output Device) หมายถึงอุปกรณ์แสดงผลที่มนุษย์ไม่สามารถจับต้องข้อมูลที่แสดงนั้นได้ เช่น ข้อมูลตัวอักษรหรือภาพบนจอภาพ หรือ ข้อมูลเสียงจากลำโพง เราเรียกข้อมูลตัวอักษรหรือภาพบนจอภาพ หรือ ข้อมูลเสียงจากลำโพงเราเรียกข้อมูลประเภทนี้ว่า Softcopy
2.    อุปกรณ์แสดงผลที่มนุษย์จับต้องได้ (Hardcopy Output Device) หมายถึงอุปกรณ์แสดงข้อมูลที่มนุษย์สามารถจับต้องข้อมูลที่แสดงนั้นได้ เช่น ตัวอักษรหรือภาพบนจอภาพ เป็นต้น เราเรียกข้อมูลประเภทนี้ว่า Hardcopy
  10. จงสร้าง Mindmap เรื่องคอมพิวเตอร์และระบบปฏิบัติการ โดยใช้โปรแกรมPaint แล้วsave เป็น File .jpg  แล้วลงในBlogger